เชื่อกันว่าโรคกรดไหลย้อนกลับ (Gastro-esophageal reflux disease) นั้น เกิดจากการคลายตัวของหูรูด ที่อยู่ส่วนปลายของหลอดอาหารต่อกับกระเพาะอาหาร ทำให้กรดน้ำดี หรือ น้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร จนทำให้เกิดอาการปวดแสบ อักเสบ ทำให้เกิดแผลขึ้นในหลอดอาหาร
ดังนั้นแพทย์แผนปัจจุบันจึงแนะนำให้คนป่วยนอนตะแคงซ้าย เพราะการนอนตะแคงขวา กระเพาะอาหารจะ อยู่เหนือหลอดอาหาร ทำให้มีแรงกดต่อหูรูดหลอดอาหารให้เปิดออกง่ายขึ้น จนเกิดการไหลย้อนกลับ ของกรดน้ำย่อย
อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยประเภทนี้คือ ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ กลางหน้าอก หลังกินอาหาร ความรู้สึกเปรี้ยว หรือขมในปากและคอ ท้องอืด จุกเสียด แน่นท้อง แน่นหน้าอกซึ่งมีอาการใกล้เคียงกับ โรคหัวใจ
ในกรณีที่เป็นบ่อยๆ กรดน้ำดีที่ไหลย้อนมาถึงบริเวณลำคอ จะทำให้เกิดอาการเจ็บคอเรื้อรัง ไอเรื้อรัง เสียงแหบ กล่องเสียงอักเสบ แต่ถ้าการอักเสบเกิดที่หูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร หลอดอาหารอาจจะเกิด พังผืดแล้วตีบ หรีอ เยื่อหุ้มหลอดอาหารส่วนปลายเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
แพทย์พบว่าคนอ้วนเกิดภาวะกรดไหลย้อนกลับได้มากกว่าคนผอม เนื่องจากแรงดันในท้องมีมากกว่าปกติ นอกจากนี้ อาหารมัน อาหารแคลอรีสูง น้ำอัดลม เหล้า ไวน์ ชา กาแฟ บุหรี่ อาหารมื้อใหญ่ หอม กระเทียม อาหารที่มีส่วนผสมของมิ้นต์ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หูรูดส่วนปลายของหลอดอาหารคลายตัวได้บ่อยขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนกลับได้
แต่ถ้าลองพิจารณาดูด้วยตนเองจะพบว่า โรค GERD นี้เกี่ยวข้องกับตัวแปรหลายอย่างคือ หนึ่ง อาหารที่กินเข้าไป สอง น้ำย่อยหรือกรดน้ำดี สามหูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร และสี่ ลมในกระเพาะอาหาร ที่ดันขึ้น
ตัวแปรที่ ๑ และ ๔ สามารถจับคู่กันได้ เพราะอาหารที่กินเข้าไปอาจจะทำให้เกิดลม(แก๊ส) ในกระเพาะอาหาร ปกติแล้ว หอม กระเทียม อาหารที่ผสมมิ้นต์ เช่น สะระแหน่ ผักแพว และที่มีน้ำมันหอมระเหยเช่น ขิง ข่า ตะไคร้ อบเชย โป๊ยกั๊ก พริกไทย จะขับลมทำให้เรอ หรือผายลมทางทวารหนัก อาหารเหล่านี้ไม่น่าจะมี โทษเป็นเหตุให้หูรูดส่วนปลาย คลายตัว แต่อาหารเหล่านี้จะช่วยให้การย่อยอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวแปรที่ ๒ น้ำย่อยหรือกรดน้ำดี ปกติตับจะสังเคราะห์จากคอเลสเตอรอล หรือเรียกอีกชื่อว่า lipoprotein ซึ่งได้จาก lipid + protein ตัวแปรอันนี้เป็นสิ่งที่น่าจับตามองเพราะมันเปลี่ยนแปลง กว่า ๓๐ ปีแล้วที่ร่างกาย คนไทยได้ ไขมัน (lipid) จากน้ำมันมะพร้าว กะทิ และน้ำมันหมู ซึ่งมีสัดส่วนของไขมันอิ่มตัวสูง โดย ธรรมชาติ ในขณะที่ปัจจุบันคนไทยร้อยละ ๘๐ได้รับประทานไขมันอิ่มตัวสูงด้วยการเติมไฮโดรเจน (Trans fat)ได้แก่ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีทุกชนิด และร้อยละ ๒๐ บริโภคไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งได้จาก น้ำมันพืชบีบเย็น (Cold press) ที่ฝรั่งนิยมใช้ทำน้ำสลัดได้แก่ น้ำมันข้าวโพด น้ำมันคาโนล่า น้ำมันมะกอก- โอลีฟ เป็นต้น อย่างไรก็ตามในคนไทยร้อยละ ๒๐ นี้ส่วนใหญ่จะปรุงอาหารด้วยความร้อนเช่น การทอด การผัดซึ่งจะทำให้แขนในโครงสร้างเคมีอีกข้างหนึ่งของน้ำมันบีบเย็นจับกับธาตุไฮโดรเจนซึ่งมีอยู่ในน้ำหรืออากาศ กลายเป็นไขมันอิ่มตัวสูง (Trans fat) ได้เช่นกัน
ข้าพเจ้ามีเพื่อนชายคนหนึ่ง แกเป็นโรคเก๊าท์เรื้อรังมานาน อาหารที่กินก็พิถีพิถันไม่กินสัตว์ปีก หน่อไม้ ที่มีกรดยูริคสูง แต่แกก็ไม่เคยหายจากโรคนี้ อยู่มาวันหนึ่งแกได้ถามข้าพเจ้าว่ามีสมุนไพรอะไรที่รักษา โรคเก๊าท์ได้ ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้เลิกกินน้ำมันพืชทุกชนิด แต่แกก็ยืนยันว่าทุกวันนี้กินแต่น้ำมันมะกอก โอลีฟเท่านั้น ข้าพเจ้าถามแกว่าได้นำน้ำมันไปทอดหรือผัดหรือไม่ แกก็บอกว่าใช่ ถามแกว่าเคยเจ็บคอ คออักเสบหรือไม่ แกก็บอกว่าไม่ค่อยเป็น ข้าพเจ้าจึงบอกแกไปว่าคนอื่นๆ มักจะเจ็บคอ คออักเสบเพราะน้ำมัน พืชมีพิษ แต่การอักเสบของแกจะไปอยู่ที่ข้อจึงทำให้แกเป็นโรคเก๊าท์ไม่หาย เพื่อนคนนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ลองงดน้ำมันพืชดู ปรากฎว่าการตรวจเลือดครั้งหลังสุด แพทย์พูดชมว่ากรดยูริคต่ำ ต่ำมากๆ
วิธีการพิสูจน์ว่าน้ำมันชนิดไหนกินไม่ได้ให้สังเกตจาก การล้างจานชามที่เปื้อนน้ำมันชนิดนั้น ถ้าหากต้อง ใช้น้ำยาล้างจานมากในการขจัดคราบไขมันก็ให้สงสัยไว้ก่อน แล้วค่อยพิสูจน์คราบฝังแน่นที่ติดอยู่ตาม กระทะ ผนังเตา ว่าสามารถล้างออกได้ง่ายหรือไม่ ถ้าต้องใช้น้ำส้มสายชู หรือ ส้มมะขามเปียกล้าง หรือน้ำยาพิเศษขจัดคราบก็มั่นใจได้เลยว่า น้ำมันชนิดนั้นกินไม่ได้ เพราะถ้ามันติดแน่นขนาดนี้ใน อุณหภูมิห้องได้ มันก็จะติดในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้ตีบตันเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ขณะเดียวกันมันก็สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยไตตีบตัน ทำให้เกิดโรคไตชนิดต่างๆ ได้
เมื่อกรดน้ำดี(น้ำย่อย)ผิดปกติ ก็ย่อมทำให้การย่อยอาหารมีมลพิษในกระเพาะอาหารได้ แก๊สที่เกิดจากการ เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ในกระเพาะอาหาร ย่อมมากขึ้นและดันหูรูดปลายหลอดอาหารให้เปิดออกได้ ถ้าถามว่ากรดน้ำดีผิดปกติอย่างไร ข้าพเจ้าเชี่อว่าความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้น เพราะอาหารที่กินส่วนใหญ่ มีน้ำมันพืชเป็นองค์ประกอบ(ไขมันคือ fatty acid) โดยปกติแล้วไขมันจะถูกย่อยโดยเอ็นไซม์ในลำไส้เล็กตอนต้น ในขณะที่มันอยู่ในกระเพาะอาหารมันจะเสริมความเป็นกรดให้กับกรดน้ำดีซึ่งจะทำให้กระเพาะอาหาร เป็นแผลได้ เราจึงพบว่าผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารมักชอบกินอาหารทอดเป็นประจำ และผู้ป่วยโรค มะเร็งกระเพาะอาหารก็เช่นกัน
ส่วนตัวแปรที่ ๓ หูรูดคลาย หรือหย่อนนั้นไม่มีใครเห็น เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่ามันต้องเปิด กรดจึงไหล ย้อนกลับได้ แต่ความเห็นของข้าพเจ้ามองว่า ในกระเพาะอาหารนั้นมีความเป็นกรดสูงเกินไป ทำให้เกิด ปฏิกริยาเคมี เป็นฟองฟูขึ้นเพราะแก๊สจนล้นกระเพาะอาหารตอนบน เลยขึ้นมาถึงหลอดอาหารที่คอ ผู้ป่วย จึงได้รสเปรี้ยว และบางทีรสขม จากกรดน้ำดี
แก้โรคนี้ได้ ๒ ทางคือ หนึ่ง แก้ที่ lipid และ สองแก้ที่ protein ซึ่งจะกลายเป็น คอเลสเตอรอลในร่างกายการแก้ที่ง่ายที่สุดคือ หยุดกินน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี และน้ำมันพืชบีบเย็นที่นำไปทอด ผัด ส่วนการแก้ที่ protein ที่กินเข้าไปนั้นต้องถือ มังสะวิรัติ ถ้าใครไม่อยากเป็นมังสะวิรัติก็แก้เฉพาะงดกินน้ำมันพืช เพราะปกติแล้วเนื้อสัตว์ที่เรากินเข้าไปจะมีทั้งโปรตีนและไขมันในตัวมันแล้ว ดังนั้นตับก็สามารถสร้าง คอเลสเตอรอลได้ แม้ว่าเนื้อสัตว์จะปนเปื้อนเคมีต่างๆ แต่ก็ยังจำเป็นมากกว่าน้ำมันพืช
นอกจากนี้ให้กินขมิ้นชัน ก่อนอาหาร ๔ มื้อ เช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน มื้อไหนไม่ได้กินอาหารก็กินขมิ้นชันได้ ขนาดรับประทานคือ ครั้งละ ๑ ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ ๓ เม็ดๆ ละ ๕๐๐ มก. ขมิ้นชันนี้จะบำรุงน้ำดีให้ปกติ ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหารถ้าจะให้โรคนี้หายขาดคงต้องทำ"วิเรจนะ" ควบคู่กันไปด้วย วิเรจนะคือการล้างพิษตามแบบแผนไทย และอายุรเวทอินเดีย ครั้งหน้าถ้าท่านมีอาการโรค GERD อีก ควรจะจดเวลาที่รู้สึกและวันข้างขึ้นข้างแรม เอาไว้ศึกษา เพราะโรคกษัยหลายอย่างก็มีลักษณะคล้ายกันกับโรคนี้
ที่มา: สถาบันวิจัยโรคเรื้อรัง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น